windows : แค่ลากแล้ววางก็รู้ที่อยู่ไฟล์?
คุณเองก็อาจจะเคยมีความจำเป็นต้องใช้ หรือต้องการทราบว่า ไฟล์ที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นมีพาธ (path) เป็นอะไร? บ้างก็ใช้วิธีคลิกขวาบนไฟล์แล้วเลือกคำสั่ง Properties แล้วใช้ข้อมูลจากในบรรทัด Location: แต่มันก็ไม่รวมชื่อไฟล์ไว้ด้วย นายเกาเหลามีวิธีที่ได้ข้อมูลทั้งพาธ และชื่อไฟล์ครบถ้วน แค่ลาก...แล้ววางก็ได้คำตอบแล้ว...???
เหตุที่นำทิปนี้มาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่า พอดีได้ใช้วิธีนี้ในการหาพาธของไฟล์ต่อหน้าเพื่อนๆ ของหลาน ปรากฎว่า ทุกคนในกลุ่มอึ้ง...เพราะงงที่มันทำได้ ในขณะที่นายเกาเหลาเองก็อึ้งที่ทุกคนประหลาดใจ :p อย่างไรก็ตาม คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยทราบมาแล้วว่า มันทำได้ แต่เชื่อว่า มือใหม่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน (เหมือนเพื่อน และหลานของนายเกาเหลา) เอาเป็นว่า สะสมความรู้เป็นทิปเล็กๆ ไว้ใช้ยามจำเป็นก็แล้วกันนะครับ วิธีการก็แค่กดปุ่ม Windows+R เพื่อเปิดไดอะล็อกบ๊อกซ์ Run จากนั้นใช้เมาส์ลากไฟล์ที่ต้องการทราบ Path มาไว้ในช่อง Open แล้ววาง พาธพร้อมชื่อไฟล์ที่สมบูรณ์จะปรากฎในช่องข้อความทันที ว้าว!!! อะไรมจะง่ายปานนั้น :) ลองไปทำดูนะครับ
ที่มา : http://siamtipscom.blogspot.com/
windows 7: ลูกเล่น(ไร้สาระ)ที่ซ่อนอยู่?
บ่อยครั้งที่พบว่า ลูกเล่นที่ลึกลับหรือถูกซ่อนไว้ในซอฟต์แวร์ที่เรียก Easter Egg มักจะตามติดจากเวอร์ชันเก่ามาจนถึงเวอร์ชันใหม่ แม้แต่ในระบบปฎิบัติการ Windows 7 ลูกเล่นบางอย่างที่เล่นได้บน Windows Vista ก็ยังใช้ได้บน Windows 7 ด้วย อย่างทริก"ไร้สาระ"อันนี้เป็นต้น
เรื่องของเรื่องก็คือ ปกติเวลาเรียกใช้ฟังก์ชัน Task Switcher (หรือ Flip ใน Windows Vista) เพื่อสลับสับเปลี่ยนไปใช้แอพฯตัวอื่นๆ ที่เปิดไว้แล้ว ผู้ใช้เพียงแค่กดปุม Alt+tab บน Windows 7 หรือ Vista ก็จะมีหน้าต่างป๊อปอัพขึ้นมาพร้อมทั้งแสดงรายการของหน้าต่างโปรแกรม ด้วยขนาด thumbnail จัดแถว รอให้คุณเลือกบนพื้นใส Aero ซึ่งจะแตกต่างจากที่เคยเห็นใน Windows XP ที่เป็นแค่ไอคอนโปรแกรมเท่านั้น
หากคุณคิดถึงอินเตอร์เฟซของฟังก์ชันสลับโปรแกรมที่ไม่ค่อยไฮโซเท่าไรของ XP ก็สามารถเรียกรูปแบบเดิมขึ้นมาใช้ใน Windows 7 (หรือ Vista) ได้เหมือนกัน โดยขั้นแรกกดปุ่ม Alt+tab ด้วยมือซ้าย จากนั้นใช้มือขวากดปุ่ม Alt ทางฝั่งขวาของคีย์บอร์ด แล้วปล่อย (มือซ้ายยังกดปุ่ม Alt ค้างอยู่นะครับ) จากนั้นกด Alt+tab ด้วยมือซ้าย จะเห็นว่า Switcher ได้เปลี่ยนอินเตอร์เฟซกลับไปเป็นแบบ XP ในอดีตแล้ว โอ้ว...ได้กลิ่นอายของ XP ดีจัง :p (ภาพตัวอย่าง Task Switcher บน Windows 7 ที่แสดงไอคอนเรียบง่ายแบบ XP)
ที่มา : http://siamtipscom.blogspot.com/
ตวัด "เมาส์" ราวกับ "พู่กัน"
วันนี้มีซอฟต์แวร์แจกฟรีมาฝากกันเช่นเคย โดยฟรีแวร์ตัวนี้มีชื่อว่า Livebrush ซึ่งเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ดาวน์โหลด และติดตั้งมันเข้าไปในเครื่อง Livebrush จะสามารถเปลี่ยนคุณผู้อ่านที่แค่พอมีฝีมือในการวาดรูปอยู่บ้างให้กลายเป็นสุดยอดศิลปินดิจิตอลภายในบัดดล ด้วยลีลาการวาดเส้นหนักเส้นเบาราวกับมือโปรฯ จะทำให้คุณได้ผลงานที่เยี่ยมยอดกว่าเดิมจนไม่อยากจะเชื่อว่า "วาดเอง"
Livebrush เป็นโปรแกรมวาดภาพที่มาพร้อมกับเครื่องมือมหัศจรรย์ โดยเฉพาะแปรงสีดิจิตอลที่สามารถตอบสนองความเร็วของการลากเม้าส์ของคุณด้วยความหนาบางของเส้นภาพที่ปรากฎ ทำให้ภาพวาดที่ออกมามีความสวยงามยิ่งขึ้น ต้องขอชมว่า ทำโปรแกรมออกมาได้สุดยอดจริงๆ หากคุณผู้อ่านคิดไม่ออกว่า จะวาดรูปอะไร ก็ลองดูัวอย่างข้างล่างนี้ดูสิครับ บางทีคุณอาจจะสร้างสรรค์ผลงานได้ดีกว่านี้อีกด้วยซ้ำ
คุณผู้อ่านสามารถควบคุมการทำงานของ"แปรงสี"ฉลาดๆ ที่โปรแกรมให้มาด้วยเมาส์ หรือทัชแพดก็ได้ โดยโปรแกรมจะช่วยตีโค้งโยงเส้นสายตาม"ลวดลายการลาก" (gesture) เมาส์ของคุณได้โดยอัตโนมัติ รับรองว่า โค้งได้มนกว่าที่คุณลากด้วยมือตัวเองอย่างแน่นอน สนใจดาวน์โหลดโปรแกรม Livebrush คลิกที่นี่
ที่มา : arip.co.th
บล็อก (BLOG) คืออะไร ...
บล็อกมาจากการผสมคำระหว่าง WEB ( Wolrd Wide Web) +LOG (บันทึก) = BLOG คือ เว็บไซต์ที่เจ้าของ หรือ Blogger สามารถบันทึกเรื่องราวของตนเองลงในเว็บได้ตลอดเวลา การสร้างเว็บบล็อกสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ไม่ซับซ้อน ไม่เสียสตางค์ ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา HTML อย่างน้อยขอให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์
ภายในเว็บบล็อก จะมีระบบบริหารจัดการเว็บไซต์พื้นฐานให้แล้ว โดยการสร้างเครื่องมือสำหรับ เขียนเรื่อง โพสรูป จัดหมวดหมู่ และลูกเล่นอื่นๆ ที่ผู้จัดทำพยายามสร้างเพื่อดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ให้เข้าไปใช้บริการ เสน่ห์ของบล็อกอยู่ที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถโต้ตอบกันได้ (Interactive) โดยการแสดงความคิดเห็นต่อท้ายที่เรื่องนั้นๆ
บางคนมองว่าการเขียนบล็อก ก็คือการเขียนไดอารี่ออนไลน์ แท้ที่จริง ไดอารี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบล็อกเท่านั้น คุณเปิดบล็อกขึ้นมาไม่ใช่เพื่อเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวันอย่างเดียว แต่สามารถใส่ความรู้ ประสบการณ์ เพื่อเป็นวิทยาทานให้คนอื่นๆ เช่น คุณหมอ เปิดบล็อกแนะนำเรื่องสุขภาพ เป็นต้น
บล็อก คือ สื่อใหม่ (New Media) เป็นปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารในอดีตอย่างสิ้นเชิง คนเขียนบล็อก สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งสื่อสารมวลชน เขาสามารถสื่อสารกันเองในกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่ก็ได้ ถ้าเรื่องไหน เป็นที่ถูกใจ ของชาวบล็อก ชาวเน็ต คนๆ นั้น อาจจะดังได้เพียงชั่วข้ามคืน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อหลักช่วยเลย
Blog คืออะไร? ผู้รู้หลายๆ ท่านมักจะชอบเปรียบเปรยว่า Blog เป็นเหมือนกับสมุดบันทึกหรือไดอารี่ที่เราเขียนเป็นประจำ เพียงแต่สมุดบันทึกดังกล่าวแทนที่จะเขียนบนกระดาษเรากลับเขียนลงบนโลกออนไลน์ ที่คนทั่วโลกเขาสามารถอ่านกันได้ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นตอบกลับมาได้
เรื่องที่เราเขียนบน Blog อาจจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่อยากจะเขียนไม่ว่าจะเป็นการพร่ำพรรณนาถึงแสงแดด สายลม และความรัก หรือ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เราเจอรอบๆ ตัว หรือ แม้กระทั่งการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ ฯลฯ
ชื่อของ Blog นั้นมาจากคำว่า Weblog แต่เรียกให้สั้นเข้าก็เลยตัด We ออกเหลือเพียงแค่ Blog เท่านั้นครับ และทาง Oxford English Dictionary ก็ได้บรรจุคำๆ นี้ลงในพจนานุกรมของตัวเองแล้วครับ (ขอขอบพระคุณ kapook.com สำหรับข้อมูลนะครับ) Blog ทำให้ทุกคนสามารถกลายเป็นนักเขียนได้อย่างรวดเร็วและสะดวกที่สุด ตอนนี้ประมาณกันว่ามีจำนวนผู้ที่เขียน Blog เป็นประจำมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก
ถึงแม้อินเตอร์เนตจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในเรื่องของการสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ มานานนับสิบกว่าปีแล้ว แต่ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูซิครับว่าข่าวที่สื่อออกไปผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้นก็ยังเป็นข่าวเดิมๆ ที่ได้มีการสื่อผ่านทางช่องทางอื่นอยู่แล้ว ไม่ต้องมองอื่นไกลครับ เว็บข่าวหลายๆ แห่งของเมืองไทยก็นำเนื้อหามาจากหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยดัดแปลงเข้าสื่ออินเตอร์เนตเท่านั้นเอง
แต่ในโลกของ Blog หรือที่เขาเรียกกันว่า Blogosphere นั้น โลกของข้อมูลข่าวสารที่เขียนนั้นไม่ได้ถูกควบคุมและผู้เขียนเป็นผู้เลือกสิ่งที่จะเขียน ผลก็คือ Blog หลายๆ แห่งทั่วโลกกำลังกลายเป็นสื่อแห่งใหม่ที่กำลังส่งผลและมีอิทธิพลต่อความคิด วิถีชีวิต หรือพฤติกรรมในการซื้อของ ของคนนับล้านทั่วโลก ซึ่งสุดท้ายองค์กรธุรกิจก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัวต่อกระแสความตื่นตัวของ Blog อย่างไรก็ดี ซึ่งในตอนนี้องค์กรยักษ์ใหญ่หลายๆ แห่งก็เริ่มที่จะตระหนักและปรับตัวให้ทันตามกระแส Blog กันมากขึ้น
ลองดูตัวอย่างที่ส่งผลกระทบในด้านลบต่อองค์กรธุรกิจบ้างนะครับ เมื่อปลายปีที่แล้วมีคนเขียน Blog เกี่ยวกับปัญหาของที่ล็อคกุญแจจักรยานยี่ห้อ Kryptonite (เป็นรูปตัวยู เอาไว้ล็อคจักรยานกับราวเหล็กกันขโมย) ว่าที่ล็อคยี่ห้อนี้สามารถแงะออกมาได้ด้วยเพียงแค่ปากกาลูกลื่น ซึ่งข่าวก็กระจายไปอย่างรวดเร็วมาก มี Blog บางแห่งที่มีวิดีโอสาธิตให้ดูด้วย
ในตอนแรกบริษัท Kryptonite ก็เพียงออกมาแก้ข่าวว่าไม่เป็นความจริงและสัญญาว่าในรุ่นต่อไปจะแข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ข่าวสงบลง ทุกวันก็จะมีการเขียน Blog ใหม่ๆ ถึงที่ล็อคกุญแจยี่ห้อดังกล่าว จนท้ายที่สุดเพียงแค่สิบวันจากที่มี Blog แรก ทางบริษัทตัดสินใจที่จะส่งที่ล็อคกุญแจอันใหม่ไปให้ผู้ใช้ทั้งหมด 100,000 อัน ทำให้บริษัทต้องสูญเสียเงินทั้งหมด 10 ล้านเหรียญ (เป็นบริษัทที่มีรายได้ 25 ล้านเหรียญต่อปี) ผู้บริหารเขากระอักเลยครับ 10 วัน 10 ล้านเหรียญ
ในขณะเดียวกันก็มีบางบริษัทเช่นมาสด้าที่พยายามจะใช้ประโยชน์จาก Blog เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น โดยเขียน Blog ของตัวเองขึ้นมา (ใช้ชื่อสมมติ) และใน Blog ดังกล่าวก็มีแต่วิดีโอโฆษณารถของมาสด้า ซึ่งผลก็คือผู้ที่เข้ามาดูไม่ถูกหลอก และมาสด้าก็ถูกวิจารณ์ไปจนต้องปิด Blog ของตัวเองลงภายในสามวัน
แต่ก็ใช่ว่า Blog จะส่งผลในทางลบต่อองค์กรธุรกิจนะครับ ส่งผลในทางบวกก็มี เช่นกรณีของ Shayne McQuade ผู้ประกอบการที่คิดเป้สะพายหลัง ที่มีแผงพลังงานรับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อนำมาใช้ในการชาร์จพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งเรามักจะพกติดกระเป๋า เช่นโทรศัพท์มือถือ หรือ PDA ต่างๆ ซึ่ง McQuade ก็ได้ทำการออกแบบ ผลิตทุกอย่างจนเรียบร้อย เหลือเพียงแค่การทำการตลาด ซึ่ง McQuade ก็ได้ขอให้เพื่อนของเขาที่มี Blog ของตัวเอง ช่วยพูดถึงสินค้าของเขาให้หน่อย ปรากฏว่าจาก Blog เล็กๆ ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็ได้มี Blog ขนาดใหญ่ที่พาดพิงถึง และสุดท้ายยอดสั่งซื้อก็เข้ามาอย่างทะลักทลาย
ในปัจจุบันอาจจะถือว่าวิวัฒนาการและความนิยมของ Blog ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นนะครับ แต่จากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ สำนักต่างมองตรงกันว่า Blog จะเป็นความตื่นตัวครั้งใหม่ในวงการ ซึ่งองค์กรธุรกิจทุกแห่งจะต้องรู้จักที่จะปรับตัวและใช้ประโยชน์จาก Blog ให้เป็น มีการเตือนกันไว้ว่านักการตลาดจะต้องรู้จักที่จะบริหารจัดการกับ Blog ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากสื่อธรรมดาทั่วๆ ไป เนื่องจาก Blog ไม่ได้เป็นเพียงที่ๆ จะโฆษณาเท่านั้นนะครับ แต่ยังเป็นที่ๆ คนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย
>>ทุกๆคนคงจะเข้าใจความหมายของ blog ไปพอสมควรแล้วนะคะ ถ้าอยากมีบล็อกเป็นของตัวเอง!! ไม่ยากๆๆๆ แค่เข้าไปที่...http://www.blogger.com แค่นั้นเองค่า ^^<<
ที่มา : http://oknation.net/blog/print.php?id=66
http://navalcadet.org/82/blog/whatblog.htm